25 มิ.ย. 2556

ประสบการณ์จริงกับวิกฤตของชีวิตที่รอดออกจากห้องไอซียู ICU ที่ไม่มีวันลืม 2

ติดตามตอน2กันต่อ ประสบการณ์จริงกับวิกฤตของชีวิตที่รอดออกจากห้องไอซียู ICU ที่ไม่มีวันลืม

นี่เป็นตอนที่สองของ ประสบการณ์วิกฤตชีวิตรอด ห้องไอซียู ICU ที่ไม่รู้ลืม ตอนแรก ซึ่งผมเขียนไว้เมื่อวานนี้ มันมีสิ่งที่ต้องเจออีกหลายด่านเพื่อพิสูจน์ว่าคุณจะได้ไปต่อหรือต้องถูกคลุมผ้าขาวกลับบ้านเก่าไป
กลางคืนยิ่งทรมานเป็นหลายเท่าของกลางวัน
คนจะต้องนอนกลางคืน กลางคืนต้องมืดและเงียบถึงจะหลับ แล้วเราต้องมาโดนปลุกทุกสี่ชั่วโมงเพื่อรับกับความเจ็บตอนดูดเสมหะกับไฟที่สว่างโล่ แล้วใครละจะได้หลับพักผ่อน เสียงเตือนตี๊ดๆต๊อดๆอี๊ดอ๊อดๆจากเครื่องมอนิเตอร์บนหัวเตียง8เตียงในห้องICUอีกละ แต่ละเตียงก็จะเครื่องมอนิเตอร์ประมาณ4ถึง5เครื่อง มันดังรบกวนตลอดเวลาแยงทะลุถึงโสตประสาท บางคืนพยาบาลคุยกันแบบไม่เกรงใจคนป่วยที่ต้องการหลับพักผ่อนเลย แล้วเราจะนอนหลับพักฟื้นร่างกายหลังผ่าตัดได้อย่างไร บางคืนผมแทบจะไม่ได้หลับ ต้องขอสำลีมาอุดหูและขอผ้ามาปิดตา จะหลับได้ก็หลังตีสอง ตีห้าก็ต้องตื่นเช็ดตัวทุกเช้า

ประสบการณ์จริงกับวิกฤตของชีวิตที่รอดออกจากห้องไอซียู ICU ที่ไม่มีวันลืม

แทบขาดลมหายใจ
เขาเช็ดตัวให้วันละสองครั้ง แต่ละครั้งก็เจอพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลเป็นคู่หมุนเวียนกันมา ผมก็โดนอีกแล้วเจอประเภทไม่ชำนาญไม่ระวังในการให้บริการ พยาบาลบางคนเวลาพลิกตัวตะแคงผมเพื่อเช็ดตัวด้านหลัง เหมือนมันไปกดทับอะไรซักอย่างจนผมหายใจไม่ออก บางครั้งนานแทบจะขาดใจ โดนแบบนี้ประมาณ3ครั้ง พูดก็พูดไม่ออก เพราะท่อช่วยหายใจยังคาอยู่ในปาก
23 มีนาคม ผ่านไป6วันในห้องไอซียู วันนี้พยาบาลเห็นว่าผมเริ่มแข็งแรงแล้ว จึงให้ฝึกหายใจด้วยตนเองตั้งแต่เช้า โดยหมุนท่อออกซิเจนออก แต่ยังคาส่วนหัวของท่อช่วยหายใจที่อยู่ในปากผมอยู่(เรียกชื่อไม่ถูก มีรูปให้ดู) ฝึกราวสองชั่วโมงพอเหนือยก็ใส่ออกซิเจนเข้าเหมือนเดิม วันรุ่งขึ้นฝึกหายใจด้วยตนเองอีกครึ่งวัน เริ่มคุ้นเคยแล้ว ตอนบ่ายวันนั้นผมก็รู้สึกดีใจมากๆที่พยาบาลบอกว่าจะได้ถอดท่อช่วยหายใจออกจากปากแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นผมมีความสุขที่สุดครั้งนึงที่ได้กลับมาพูดแบบคนปกติได้อีก สิ่งคับแค้นอึดอัดได้ระบายออกมาให้คนรอบข้างได้ฟัง พูดจนเหนื่อยว่างั้นเถอะ

นรกถามหาอีกรอบ
คืนนั้นผมฝันร้ายว่าพยาบาลฉีดยาพิษเข้าสายน้ำเกลือจนผมค่อยๆขาดใจตาย ผมมารู้สึกตัวเหมือนมีใครมาเขย่าตัวเรียก ลืมตาขึ้นมาเห็นพยาบาลกำลังปลุกผมให้ตื่น อ้าวเราทำไมกลับมาอยู่ในสภาพเริ่มต้นใหม่อีก มีท่อช่วยหายใจเต็มปากอีกแล้ว ทั้งๆที่เมื่อวานพึ่งถอดออก สภาพผมตอนนั้นรู้สึกอ่อนเพลียมาก อยากจะหลับอย่างเดียว ไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองต้องกลับมาใส่ท่อช่วยหายใจอีกครั้ง พระเจ้าช่างโหดร้ายกับเราจริงๆ สาเหตุเพราะปอดติดเชื้อ (ผู้ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจจะมีโอกาสเป็นปอดติดเชื้อ20-25%ของคนปกติ - ค้นจากอินเทอร์เน็ต) อาการเลยทรุดหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจทางปากอีกครั้ง ทรมานกับท่อช่วยหายใจและการดูดเสมหะอันแสนเจ็บในห้องนรกนี้อีก3วัน แล้วมาเริ่มฝึกหายใจใหม่อีกวันครั้งนึงแบบตั้งอกตั้งใจ อยากถอดเจ้าท่อนี้ออกจากปากเต็มทีแล้ว โชคดีได้ถอดในบ่ายวันนั้นเลย เป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตอีกครั้ง ได้เปลี่ยนมาเป็นหายใจแบบท่อเล็กๆทางจมูก สลับกับให้ยาพ้นจมูกเพื่อขยายหลอดลมเป็นระยะๆ ช่วงบ่ายวันต่อๆมาก็จะมีนักกายภาพบำบัดมาเคาะปอดไล่เสมหะ ตอนแรกๆเสมหะมันออกมาเยอะจริงๆ

วันที่ได้ออกจากห้อง ICU ที่สุดของที่สุด
27 บ่ายก็ได้ฟังข่าวดี หมออนุญาติให้ออกจากห้องICUแล้ว ได้ย้ายไปพักฟื้นต่อที่ห้องพิเศษ ขณะเคลื่อนย้ายออกไปก็ไปเจอลิฟท์ค้างอีก ติดอยู่ในลิฟท์ราว15นาที ดีที่มีออกซิเจนอยู่ทีจมูก ต้องโทรแจ้งช่างมาช่วย วิธีช่วยก็ชั่งเหมือนในหนัง ต้องโรยตัวลงมาทางช่องลิฟท์แล้วหมุนลิฟท์ขึ้นทีละชั้นจนถึงชั้น6 ตึกนอนพิเศษ อะไรว๊ะมันช่างเจอะกับช่วงวิกฤตบ่อยจัง
ตั้งแต่วันแรกในห้องไอซียูถึงวันนี้ผมนับดูแล้ว มีคนเสียชีวิตในห้องไอซียูถึง6ราย จากทั้งหมด8เตียง เรารอดมาได้ไงนี่

ความสุขมาเยือนอีกหนในห้องพิเศษเมื่อได้ถอดสายให้อาหารเหลวทางจมูก และได้หายใจด้วยตนเองเมื่อออกซิเจนถังสุดท้ายหมดลง แต่ช่วงนี้ยังต้องฝีกหายใจด้วยตนเอง ฝึกไอแรงๆเพื่อขากสเลด สอนโดยเจ้าหน้าที่ห้องกายภาพบำบัด และยังต้องให้ยาทางสายอีกจนครบโดส การฝึกหายใจและไอแรงได้ประโยชน์จริงๆ เพราะตอนแรกๆจะหายใจเองลำบาก เหมือนกับโลกนี้มีอากาศเบาบาง หายใจไม่เต็มปอดซักที เสมหะก็มาตลอดโดยเฉพาะช่วงกลางคืน ได้ไอแรงๆคายเอาสเลดออกคืนละหลายครั้ง น้ำก็ดื่มได้ครั้งละนิด ดื่มน้ำทีไรเหมือนมันจะไอ รสชาดทุกอย่างเปลี่ยนหมด กินอาหารต้องเป็นแบบอ่อนๆจืดๆ กลืนอาหารลำบาก กินแต่ข้าวต้ม อาหารพวกกลิ่นฉุนเช่นหอมใหญ่ กระเทียมเจียว กึ้นช่าย รับไม่ได้เลยมันเหม็นหมด อยากกินที่สุดตอนนั้นคือผลไม้เปรี้ยวอมหวานพวก มะปราง ของหวานๆพวกกล้วยปิ้ง มะขามหวาน ข้าวโพดต้ม อร่อยปากสมอยากจริงๆ กลืนทุกอย่างลำบาก รู้สึกเหมือนมีตุ่มอะไรติดที่ลำคอ น่าจะแผลจากการดูดเสมหะในห้องไอซียู
2 เมษายน 2556 หมออนุญาติให้กลับบ้าน ผมมีโอกาสคุยกับหมอตอนตัดไหมแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง แผลยาวจากลิ้นปี่ถึงหน้าท้องใต้สะดือ ลำไส้ใหญ่ถูกตัดออกราวหนึ่งศอก จะทำให้ถ่ายอุจจาระเร็วขึ้นเพราะลำไส้สั้นลง ผู้เป็นโรคลำไส้ใหญ่บิดหมุน (Sigmoid Volvulus) จะเกิดกับผู้ที่มีลำไส้ยาวกว่าปกติ ผู้สูงอายุ และชาวมังสวิรัติ ถ้ารักษาไม่ทันอันตรายถึงชีวิต
ขอบคุณพี่ๆน้องๆและเพื่อนๆที่แวะมาเยี่ยม ขอบคุณหมอพยาบาลที่คอยเยียวยาดูแลจนรอดจากห้องไอซียู รวมนอนอยู่ในโรงพยาบาล18วัน ทรมานอยู่ในห้องไอซียู11วัน ชั่วชีวิตนี้จะไม่ลืม กลับมาถึงบ้าน รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเจ้าของเลือดที่ให้เรามาใช้กู้ชีวิต สำนึกถึงบุญคุณของผู้บริจากโลหิตทุกท่านที่เสียสะละเลือดเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ตนเองรู้สึกผิดที่เกิดมาไม่เคยบริจากโลหิตเลย จึงอยากเชิญชวนให้ทุกๆท่านช่วยกันบริจากโลหิตในช่วงชีวิตที่ท่านยังแข็งแรงอยู่ อนาคตมันไม่แน่นอน ตัวเราเองอาจจะต้องการเลือดเพื่อนำมาชุบชีวิตให้อยู่รอดต่อไป

***ถ้าจะถ่ายทอดกันแบบจัดเต็มคงอีกหลายหน้า ยังมีอีกหลายฉากที่อยากแทรกตอนต้นๆ แทรกตรงกลางก็มีและตอนท้ายก็อีกเยอะ เอาไว้สำนักพิมพ์ใดสนใจก็ติดต่อทางเว็บมาได้เลยครับ
ประสบการณ์จริงกับวิกฤตของชีวิตที่รอดออกจากห้องไอซียู ICU ที่ไม่มีวันลืม

ไม่มีความคิดเห็น: